ภาษาไทยม.6

เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำฉันท์

            ในกาลโบราณมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู  ทรงครอบครองแคว้นมคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง  พระองค์ทรงมีอำมาตย์ที่สนิทคนหนึ่งชื่อว่า วัสสการพราหมณ์  เป็นผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์และเป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป  พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์จะปราบแคว้นวัชชีอันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง  แต่พระองค์ยังลังเลพระทัยเมื่อได้ทรงทราบว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม   คือธรรมอันเป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว  มีทั้งหมด  ๗  ประการ

               ดังนั้นพระองค์จึงปรึกษาโดยเฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ว่าควรจะกระทำอย่างไรจึงจะหาอุบายทำลายเหตุแห่งความพร้อมเพรียงของพวกกษัตริย์ลิจฉวีได้  เมื่อได้ตกลงนัดแนะกับวัสสการพราหมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จออกว่าราชการ  จึงดำรัสเป็นเชิงหารือกับพวกอำมาตย์ในเรื่องจะยกทัพไปรบกับแคว้นวัชชี  มีวัสสการพราหมณ์เพียงผู้เดียวที่กราบทูลเป็นเชิงทักท้วงและขอให้พระองค์ทรงยับยั้งรอไว้ก่อนเพื่อเห็นแก่มิตรภาพและความสงบ  ทั้งทำนายว่าถ้ารบก็จะพ่ายแพ้ด้วย

         พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงฟังวัสสการพราหมณ์กราบทูลเป็นถ้อยคำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนั้น  ก็ทรงแสร้งแสดงพระอาการพิโรธ  และมีพระราชโองการสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนครบาลพร้อมด้วยราชบุรุษ  ให้นำตัววัสสการพราหมณ์ไปลงโทษตามคำพิพากษาในบทพระอัยการ  คือ  เฆี่ยน  โกนผม  ประจาน  แล้วขับไล่ไปเสียไม่ให้อยู่ในพระราชอาณาเขต

                วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับราชอาญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ  เมื่อถูกเนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชีและเที่ยวผูกไมตรีกับบรรดาชาวเมือง  จนข่าวนี้ทราบไปถึงกษัตริย์ลิจฉวี  จึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นสัญญาณ  เชิญกษัตริย์ทั้งปวงมาชุมนุมปรึกษาราชการ  เมื่อกษัตริย์ลิจฉวีประชุมกันแล้วก็ได้ตกลงกันว่าควรให้พราหมณ์ผู้นั้นเข้ามาเพื่อจะได้เห็นท่าทางและฟังความดูก่อนว่าจะจริงเท็จอย่างไร

        ภายหลังที่วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวีและกราบทูลข้อความต่าง ๆ ด้วยความฉลาดลึกซึ้ง  ประกอบกับมีรอยถูกโบยฟกช้ำให้เห็น  กษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์ต่างก็ทรงหมดความฉงนสนเท่ห์ว่า 

       วัสสการพราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจและเอาใจใส่  จนเป็นที่ไว้ใจในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี  เมื่อวัสสการพราหมณ์คาดคะเนว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีวางใจตนจนหมดความสงสัย  วัสสการพราหมณ์จึงได้ดำเนินอุบายเพื่อทำลายความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกันของกษัตริย์ลิจฉวี  โดยการแต่งอุบายลับชวนให้ฉงนสนเท่ห์ต่าง ๆ ขึ้น  เป็นเครื่องยั่วยุราชกุมารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ให้แตกร้าวกัน  และวัสสการพราหมณ์คอยส่งเสริมเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้นในหมู่ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์  จนกระทั่งที่สุดราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกความสามัคคีกันเป็นเหตุให้วิวาทกันขึ้น  ครั้นแล้วต่างองค์ก็นำความนั้นขึ้นกราบทูลชนกของตนตามเรื่องที่เป็นมา  เมื่อเป็นเช่นนั้นความแตกร้าวก็ลามไปถึงบรรดาชนกผู้ซึ่งเชื่อถ้อยคำโอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรอง 

         จนกระทั่งเวลาล่วงไปสามปี  สามัคคีธรรมในระหว่างพวกกษัตริย์ลิจฉวีก็ถูกทำลายสิ้น  วัสสการพราหมณ์เห็นว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุกองค์แตกสามัคคีกันแล้ว  ก็ให้คนลอบนำความไปกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู 

  มุขมนตรีจึงได้ตีกลองสำคัญขึ้นเป็นอาณัติสัญญาณให้ยกทัพมาต่อสู้  แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็หาไปเข้าร่วมประชุมไม่  ต่างองค์ทรงเพิกเฉยเสีย  แม้แต่ประตูเมืองทุกทิศก็ไม่มีใครสั่งให้ปิด  พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้แคว้นวัชชีโดยง่าย    ไม่ต้องเปลืองแรงรี้พลเพราะการรบเลย    เมื่อจัดการบ้านเมืองราบคาบแล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกกองทัพเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ดังเดิม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น